Enjoy cooking
Browse through over
650,000 tasty recipes.
Home » » 6 องศาเปลี่ยนโลก

6 องศาเปลี่ยนโลก

Written By Unknown on 2555-03-12 | วันจันทร์, มีนาคม 12, 2555





6 องศาเปลี่ยนโลก โลกที่อยู่เดียวที่ให้ชีวิตคุณตั้งแต่คุณเกิดมาและที่เดียวกันที่มนุษย์เช่นเรากำลังทำลายโดยไม่รู้ตัว

6 องศาเปลี่ยนโลก : Six Degrees Could Change the World

วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี UN จัดให้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day : WED)

โดยแต่ละปีก็จะมีหัวข้อรณรงค์ต่างกันไปเช่น ทะเลทราย ในปี พ.ศ. 2549, เมืองสีเขียว ในปี พ.ศ. 2548

หัวข้อรณรงค์ประจำปีนี้คือ Kick The Habit! Towards A Low Carbon Economy

หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากเชื้อเพลิงฟอสซิลคุณภาพต่ำๆ

ซึ่งเป็นรากฐานความเจริญทางเศรษฐกิจตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีส่วนทำให้อัตราการบริโภคเพิ่มสูงขึ้น

การใช้ทรัพยากรแบบล้างผลาญเชื่อมโยงถึงการเกิดปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นทุกขณะ

.

เอาล่ะครับ ตัดฉับจาก WED 2008 ไปสู่ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกดีกว่า (และปีนี้ 2012 ครับ ทุกคนคงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงดีอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง)


Browser icon'Six Degrees Could Change the World' ภาพยนตร์สารคดีโดย National Geographic

นำเสนอการคาดการณ์ว่าทุกๆ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ส่งผลต่อดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างไร

ทั้งนี้ตัวภาพยนตร์ได้ย้ำอีกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกในอดีตนั้น แต่ละคาบจะกินระยะเวลานานมาก

เทียบไม่ได้เลยกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดังเช่นที่กำลังเกิดในขณะนี้

เนื้อหาใน Entry นี้จึงไม่เน้นการกล่าวถึงสาเหตุของปรากฎการณ์โลกร้อน เพราะมันเป็นเรื่องหลังเขาไปแล้ว

เอาล่ะครับ เรามาดูกันต่อว่าทุกๆ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น 1 องศานั้น ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง

+1 องศาเซลเซียส

- ขั้วโลกเหนือไม่มีหิมะไปครึ่งปีทำให้เส้นทางเดินเรือ Northwest Passage สามารถใช้งานได้นานขึ้น
การขนส่งสินค้าจากยุโรปมายังเอเชียตะวันออกทำได้สะดวกขึ้น, คอคอดกระ (ถ้ามี) ประสบกับภาวะขาดทุน
- เกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ผลผลิตลดลง ขาดแคลนอาหาร เกิดทะเลทรายใหม่ๆ
ในอดีต ฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ แต่การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลกเพียงเล็กน้อย
ทำให้อากาศอบอุ่นขึ้น เกิดการสะสมชั้นดินบางๆ จนกลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ในยุคปัจจุบัน
แต่ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ความชื้นในดินลดลง หน้าดินก็จะแห้ง ถูกลมพัดหายไป กลับกลายเป็นทะเลทรายอีกครั้ง

- ประเทศอังกฤษ สามารถปลูกองุ่นและผลิตไวน์ได้ดีขึ้น ในขณะที่ผลผลิตองุ่นของฝรั่งเศสมีคุณภาพตกต่ำลง
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น มีผลให้แนวสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกองุ่นเลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือมากขึ้น
ปัจจุบันนี้ อังกฤษมีไร่ไวน์มากกว่า 400 แห่ง และตอนนี้ก็เริ่มมีการทดลองปลูกต้นมะกอกในอังกฤษแล้วด้วย

+2 องศาเซลเซียส

- น้ำแข็งบนกรีนแลนด์ ซึ่งธรรมชาติใช้เวลาสะสมมานานกว่า 150,000 ปี หายไป ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจุบัน สุนัขลากเลื่อนที่กรีนแลนด์ถูกทอดทิ้งให้อดตายจำนวนมาก เพราะว่าหิมะบางลงจนไม่มีงานให้มันทำ
- แมลงแปลกๆ จะเคลื่อนย้ายไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยเคลื่อนตัวไปยังเขตทิศเหนือที่เคยหนาวเย็นมากขึ้น
แมลงที่มาใหม่สามารถสร้างความเสียหายแก่ต้นไม้ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ในท้องถิ่นเดิม อย่างราบคาบ
- เมื่อสุนัขลากเลื่อนและหมีขั้วโลกเหลือเพียงตำนาน, ที่ราบทุนดราที่แสนกันดารก็จะกลายเป็นแหล่งป่าไม้ไหม่

- โลกสูญเสียแนวปะการังไปเกือบทั้งหมดเนื่องจากปรากฏการณ์ฟอกขาว สัตว์น้ำลดความอุดมสมบูรณ์ลงมาก
มหาสมุทร ถือเป็นอ่างรับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นด่านแรกของกลไกซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ
โดยปรกติแล้วสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หลายชนิดจะดูดซับเอาคาร์บอนในน้ำทะเล เพื่อนำไปใช้สร้างกระดูกหรือเปลือก
แต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปจะทำให้น้ำทะเลเป็นกรดมากขึ้น และไปขัดขวางกระบวนการดูดคาร์บอน



+3 องศาเซลเซียส

- เป็นจุดที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าเราจะไม่สามารถย้อนกลับหรือหยุดยั้งกระบวนการโลกร้อนได้อีกต่อไป
- ขั้วโลกเหนือจะไม่มีน้ำแข็งในหน้าร้อนอีกต่อไป, ป่าฝนอะเมซอนจะแห้งไป, ยอดเขาแอลป์ไม่เหลือชั้นน้ำแข็ง
- พายุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นร้อยปีครั้ง กลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดาและต้องปรับเพิ่มมาตรวัดความเร็วพายุใหม่

- El Nino กลายเป็นปรากฎการณ์ปรกติธรรมดา เหมือนย้อนกลับไปสู่โลกในยุคพาลีโอซีน (Paleocene)
- คลื่นความร้อนเกิดขี้นทั่วทวีปยุโรป จนหลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เหมือนกำลังอาศัยอยู่ในตะวันออกกลาง
(เหมือนเหตุการณ์คลื่นความร้อนที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วยุโรปสูงถึง 3 หมื่นคน)
- กระบวนการสังเคราะห์แสงหยุดชะงักลง พืชกักออกซิเจนไว้และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศแทน

+4 องศาเซลเซียส

- เมืองตามปากแม่น้ำจมทะเลถาวร, ธารน้ำแข็งบนภูเขาหิมาลัย ไม่มีเหลือ, แม่น้ำคงคา หายไปจากแผนที่โลก
- ทิศเหนือของแคนาดาเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว, ชายหาดแถบสแกนดิเนเวีย กลายเป็นที่พักร้อนแห่งใหม่ของยุโรป
- ธารน้ำแข็งด้านทิศตะวันตกของขั้วโลกใต้ ละลายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงทุ่งน้ำแข็งในบริเวณใจกลางทวีป

+5 องศาเซลเซียส

- หิมะและน้ำในชั้นหินที่คอยหล่อเลี้ยงเมืองใหญ่ เหือดแห้ง, เกิดพื้นที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยไม่ได้ในเขตอบอุ่นเดิม
- ระบบสังคมล่มสลาย, คนจนถูกทอดทิ้ง เกิดการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
- เกิดการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออย่างรุนแรงระหว่างชนชั้นเหมือนที่เห็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ไซไฟ

+6 องศาเซลเซียส

- มหาสมุทรกลายเป็นสุสานแห่งความตายไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้, ทะเลทรายบุกเข้ายึดพื้นที่ทั้งทวีป
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติกลายเป็นเรื่องปรกติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้. กรมอุตุฯ กลายเป็นหน่วยงานที่โลกลืม
- มนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปและเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่ครอบครองโลกนี้แทนในระหว่างที่โลกกำลังปรับคืนสู่จุดสมดุล
.
ตอนท้ายเรื่องยังกล่าวถึงทางออก วิธีการแก้ไขปัญหารูปแบบต่างๆ รวมไปถึงจุดอ่อนของแต่ละวิธีการด้วยครับ
หมายเหตุ : ขณะนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นมาแล้ว 0.8 องศา ส่วนจะเพิ่มถึงไหนนั้น ต้องดูกันต่อไป
  first aid kit icon


สรุป
.
ปรากฎการณ์โลกร้อนในยุคครีเตเชียส (Cretaceous : ในช่วงเวลาประมาณ 145.5 - 65.5 ล้านปีก่อน)
ถึงแม้จะต้องใช้เวลานานนับล้านปีก็ตาม โลก ก็สามารถหาหนทางเพื่อปรับสมดุลของอุณหภูมิภายในตัวเองได้
ด้วยความช่วยเเหลือจากแพลงตอนในทะเลและพืชบนบก ช่วยกันดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินในอากาศ
เมื่อแพลงตอนและพืชตายไปทับถมกัน ผ่านความร้อนและแรงกดดัน ก็กลายเป็นน้ำมันหรือถ่านหินในชั้นใต้ดิน
แต่ ด้วยความฉลาดของเผ่าพันธุ์โฮโมเซเปี้ยน ก็สามารถประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีในการขุดน้ำมันและถ่านหิน
ขึ้นมาใช้กันอย่างไม่บันยะบันยัง ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่โลกผนึกเอาไว้กลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศอีกครั้ง
.
นับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง สามารถย้อนกลับไปสู่อดีตได้โดยไม่ต้องพึ่งไทม์แมชชีนเลยล่ะครับ

(แต่จะมีชีวิตรอดดูอยู่หรือเปล่านั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

.
.
.
ของแถม
.
- กระบวนการผลิตชีสเบอร์เกอร์ที่ชาวอเมริกันบริโภคใน 1 ปี ตั้งแต่ การเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ ทำขนมปัง
การปลูกผักกาด การทำชีส การแปรรูปเนื้อวัว การขนส่ง การแช่แข็ง ฯลฯ เมื่อรวมทุกขั้นตอนเข้าด้วยกันแล้ว
การบริโภคชีสเบอเกอร์ ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 200 ล้านตันต่อปี นี่แค่เฉพาะพื้นที่สหรัฐอเมริกา
นับเป็นปริมาณมากยิ่งกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากรถอเนกประสงค์ทุกคันในสหรัฐอเมริการวมกันเสียอีก
.

- บางคนยังไม่เข้าใจว่า 1 องศามันจะมีผลกระทบขนาดไหนเชียว ลองหาแผนที่อุณหภูมิอากาศมาดูนะครับ
แล้วลองดูว่าความกว้างของเส้นอุณหภูมิจากองศาหนึ่งไปอีกองศาหนึ่ง บนพื้นที่ราบ มันกว้างกี่ร้อยกิโลเมตร



ลองไปค้นข้อมูลเปรียบเทียบมาครับ

เรื่องร่างกายคน อุณหภูมิปกติ ประมาณ 37° C

ถ้าบวกเพิ่มไปอีกแค่ 0.5° C ก็ถือว่าเริ่มเป็นไข้แล้ว

ถ้าเกิน 2 ทานยา พักผ่อน ได้แล้ว

ถ้าเกิน 3 ควรไปหาหมอ

ถ้าเกินไป 6 นี่ไม่รู้ล่ะ หาข้อมูลไม่ได้ ใครเป็นหมอรบกวนบอกที

SHARE

About Unknown

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น